การเริ่มก่อตั้งศาสนจักรออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 เพื่อที่จะตอบสนองแก่ข้อเรียกร้องของเหล่าชาวออร์ทอดอกซ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สภาบาทหลวงแห่งเขตอัครบิดรกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ได้มีการประชุมหารือในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2542 มีมติขอการดำเนินการจัดตั้งศาสนจักรขึ้นในกรุงเทพฯ โดยโบสถ์คริสตศาสนจักรออร์ทอดอกซ์แห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้น โดยใช้ชื่อว่า "อาสนวิหารแห่งนักบุญนิโคลัสผู้กระทำการอัศจรรย์" และได้มีการแต่งตั้งบาทหลวงจากจังหวัดยาโรสลาฟว์ คุณพ่อโอเล็ก เชียรีพานิน (Oleg Cherepanin) เพื่อเป็นบาทหลวงประจำศาสนจักรแห่งใหม่นี้ ในปี พ.ศ. 2544 พระคุณเจ้าคิรีล มุขนายกแห่งเมืองสโมเลนส์คและคาลินินกราด ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นประธานบาทหลวงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียได้เสด็จเยือนกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการผลลัพธ์ในการเยือนครั้งนั้น โบสถ์แห่งนักบุญนิโคลัสฯ ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นตัวแทนของโบสถ์รัสเซียออร์ทอดอกซ์ (ศาสนจักรแห่งกรุงมอสโก ประจำประเทศไทย) และท่านบาทหลวงโอเล็ก เชียรีพานิน เป็นผู้แทนแห่งโบสถ์รัสเซียออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย เป็นผู้แนะแนวทางจิตวิญญาณ แก่หมู่ประชาชนชาวออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย ถึงในสาธารณรัฐประชาธิปไตประชาชนลาว และราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี ของการยืนหยัดการทำงานและการสวดอธิษฐานเพื่อที่จะเปลี่ยนให้ประชาชนชาวไทยหันมายอมรับในนิกายออร์โธด็อกซ์
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย
การเริ่มก่อตั้งศาสนจักรออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 เพื่อที่จะตอบสนองแก่ข้อเรียกร้องของเหล่าชาวออร์ทอดอกซ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สภาบาทหลวงแห่งเขตอัครบิดรกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ได้มีการประชุมหารือในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2542 มีมติขอการดำเนินการจัดตั้งศาสนจักรขึ้นในกรุงเทพฯ โดยโบสถ์คริสตศาสนจักรออร์ทอดอกซ์แห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้น โดยใช้ชื่อว่า "อาสนวิหารแห่งนักบุญนิโคลัสผู้กระทำการอัศจรรย์" และได้มีการแต่งตั้งบาทหลวงจากจังหวัดยาโรสลาฟว์ คุณพ่อโอเล็ก เชียรีพานิน (Oleg Cherepanin) เพื่อเป็นบาทหลวงประจำศาสนจักรแห่งใหม่นี้ ในปี พ.ศ. 2544 พระคุณเจ้าคิรีล มุขนายกแห่งเมืองสโมเลนส์คและคาลินินกราด ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นประธานบาทหลวงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียได้เสด็จเยือนกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการผลลัพธ์ในการเยือนครั้งนั้น โบสถ์แห่งนักบุญนิโคลัสฯ ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นตัวแทนของโบสถ์รัสเซียออร์ทอดอกซ์ (ศาสนจักรแห่งกรุงมอสโก ประจำประเทศไทย) และท่านบาทหลวงโอเล็ก เชียรีพานิน เป็นผู้แทนแห่งโบสถ์รัสเซียออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย เป็นผู้แนะแนวทางจิตวิญญาณ แก่หมู่ประชาชนชาวออร์ทอดอกซ์ในประเทศไทย ถึงในสาธารณรัฐประชาธิปไตประชาชนลาว และราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี ของการยืนหยัดการทำงานและการสวดอธิษฐานเพื่อที่จะเปลี่ยนให้ประชาชนชาวไทยหันมายอมรับในนิกายออร์โธด็อกซ์
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย
คณะเผยแพร่ของนิกายโปรเตสแตนต์กลุ่มแรกที่เข้ามาประเทศไทยตามหลักฐานที่ปรากฏคือศิษยาภิบาล2
ท่าน ศาสนาจารย์ คาร์ล ออกัสตัส เฟรดเดอริค กุตสลาฟ เอ็ม.ดี (Rev. Karl Fredrich Augustus
Gutzlaff) ชาวเยอรมัน จาก สมาคมเนเธอร์แลนด์มิชชันนารี (Netherlands
Missionary Society) และศาสนาจารย์ จาคอบทอมลิน (Rev. Jacob
Tomlin) ชาวอังกฤษ จาก สมาคมลอนดอนมิชชันนารี(London
Missionary Society) มาถึงประเทศไทยเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2371
(ค.ศ. 1828) ทั้งสองท่านช่วยกันเผยแพร่ศาสนาด้วยความเข้มแข็ง ต่อมาจึงมีศาสนาจารย์จาก คณะอเมริกันบอร์ด (The
American Board of Commissioners for Foreign Missions หรือ A.
B. C. F. M) เข้ามาในบรรดานักเผยแพร่ศาสนานั้น
ผู้เริ่มต้นสัมพันธภาพที่ดีและยาวนานที่สุดระหว่างคนไทยกับศาสนาคริสต์คือ
ศาสนาจารย์แดน บีช บรัดเลย์ (Rev. Dan Beach Bradley, M. D.) หรือ หมอบรัดเลย์ (คนไทยมักเรียกว่า หมอปลัดเล)
ซึ่งเป็นมิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียนในคณะอเมริกันบอร์ด เข้ามากรุงเทพฯ
(ขณะนั้นเรียกว่า บางกอก) พร้อมภรรยา เมื่อ 18 กรกฎาคมพ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) ตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในประเทศไทยได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการแพทย์และการพิมพ์ ทั้งรักษาผู้ป่วยไข้ทรพิษและอหิวาตกโรค
นำการผ่าตัดเข้ามาครั้งแรก การทดลองปลูกฝีดาษในประเทศไทย
ริเริ่มการสร้างโรงพิมพ์เริ่มจากจัดพิมพ์ใบประกาศห้ามฝิ่น และจัดพิมพ์หนังสือ
"บางกอกกาลันเดอร์" ซึ่งเป็นจดหมายเหตุรายวัน [10] กล่าวได้ว่า
ความเชื่อมั่นของชาวไทยต่อการเผยแพร่ศาสนาคริสต์
เกิดจากคณะสมาคมอเมริกันมิชชันนารีนำความเจริญเข้ามาควบคู่ไปกับการเผยแพร่ศาสนา
มิชชันนารีที่สำคัญอีก
2 กลุ่ม ได้แก่ คณะอเมริกันแบ็พติสมิชชัน (The American Baptist Mission) เป็นผู้ก่อตั้งโบสถ์โปรเตสแตนต์แห่งแรกในกรุงเทพฯ
เมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2380 (ค.ศ. 1837)
และจัดพิมพ์หนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษรวมทั้งออก หนังสือพิมพ์
"สยามสมัย"และคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนบอร์ด (The American
Presbyterian Board) เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นำความเจริญสู่ประเทศไทย
เช่น ดร. เฮ้าส์ (Samuel R. House) นำการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบครั้งแรกในประเทศไทย
ขณะที่ศาสนาจารย์แมตตูนและภรรยา (Rev. and Mrs. Stephen Mattoon) ริเริ่มเปิดโรงเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับ
ซึ่งต่อมาได้รวมกับโรงเรียนประจำของมิชชัน
และพัฒนาต่อมาเป็นโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยในปัจจุบัน
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย
ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยยุคเดียวกับการล่าอาณานิคมของลัทธิจักรวรรดินิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวโปรตุเกส ชาวสเปน และชาวดัตช์ ที่กำลังบุกเบิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนอกจากกลุ่มที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว ยังมีบางกลุ่มที่มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิกเข้ามาเผยแพร่ บางประเทศบางสมัยปิดกั้นการเผยแพร่ บางประเทศบางสมัยเปิดเสรีแต่ผู้คนยังไม่นิยมเข้ารีต ขณะที่บางประเทศผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์ พร้อมกับการครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจแล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ มาเก๊า ฯลฯ
ต่อมาจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสเข้ามาได้เมืองขึ้นในอินโดจีน เช่น ประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว โดยลักษณะเดียวกับโปรตุเกสและสเปน คือล่าเมืองขึ้นและเผยแพร่ศาสนาพร้อมกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จนัก ทำให้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ในกลุ่มประเทศนี้มีน้อย อาจเพราะการมุ่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจของผู้ปกครองจักรวรรดินิยมทั้งก่อนหน้าและขณะนั้น ทำให้จุดมุ่งหมายที่ดีงามทางศาสนาถูกผู้คนในประเทศพื้นเมืองตั้งทัศนคติว่ามีเจตนาแอบแฝงเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่ามิชชันนารีจะมีเจตนาแอบแฝงจริงหรือไม่ก็ตามขณะที่ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะการเปิดเสรีในการเผยแพร่ศาสนา ทำให้ลดความรุนแรงทางการเมืองลง
ศาสนาคริสต์ที่เผยแพร่ในไทยเป็นครั้งแรกตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา ปรากฏหลักฐานว่าในปี พ.ศ. 2110 (ค.ศ. 1567) มีมิชชันนารีคณะดอมินิกัน 2 คน เข้าสอนศาสนาให้ชาวโปรตุเกสรวมทั้งชาวพื้นเมืองที่เป็นภรรยา ต่อมาจึงมีมิชชันนารีคณะฟรันซิสกันและคณะเยสุอิตเข้ามาด้วย บาทหลวงส่วนมากเป็นชาวโปรตุเกส ระยะแรกที่ยังถูกปิดกั้นทางศาสนา มิชชันนารีจึงเน้นการดูแลกลุ่มคนชาติเดียวกัน กระทั่งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประเทศไทยได้มีสัมพันธภาพอันดีกับฝรั่งเศส ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทำให้มีจำนวนบาทหลวงเข้ามาเผยแพร่ศาสนามากขึ้น และการแสดงบทบาททางสังคมมากขึ้น บ้างก็อยู่จนแก่หรือตลอดชีวิตก็มี ด้านสังคมสงเคราะห์ มีการจัดตั้งโรงพยาบาล ด้านศาสนา มีการตั้งเซมินารีคริสตัง เพื่อผลิตนักบวชพื้นเมือง และมีการโปรดศีลอนุกรมให้นักบวชไทยรุ่นแรก และจัดตั้ง คณะรักกางเขน เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ศาสนาคริสต์กลับไม่ได้รับความสะดวกในการเผยแพร่ศาสนาเช่นเดิม เพราะถูกจำกัดขอบเขต ถูกห้ามประกาศศาสนา ถูกห้ามเขียนหนังสือศาสนาเป็นภาษาไทย และภาษาบาลี ประกอบกับพม่าเข้ามารุกรานประเทศไทย บาทหลวงถูกย่ำยี โบสถ์ถูกทำลาย มิชชันนารีทั้งหลายรีบหนีออกนอกประเทศ การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุติในช่วงเสียเอกราชให้พม่า
กระทั่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราชสำเร็จ แม้การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เริ่มต้นขึ้นใหม่ แต่เพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์จักรีแล้ว ชาวคริสต์อพยพเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเปิดเสรีการนับถือศาสนา และทรงประกาศพระราชกฤษฎีการับรองเสรีภาพทางศาสนาทั่วราชอาณาจักรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศสไม่ดีนัก แต่พระองค์ก็ทรงรับรองมิสซังโรมันคาทอลิกเป็นนิติบุคคลด้านสังคมสงเคราะห์ในรัชสมัยนี้ พระราชทานเงินทุนในการก่อสร้างโรงเรียน เกิดโรงเรียนอัสสัมชัญในพ.ศ. 2420 (ค.ศ.1877) ภายหลังเกิดโรงเรียนอีกหลายแห่ง เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ และโรงเรียนพยาบาลเซนต์หลุยส์
วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ศาสดาของศาสนาคริสต์
ประวัติของพระเยซู
พระเยซูประสูติเมื่อ ปีค.ศ. 1 เป็นบุตรชายของนางมารีย์
และโยเซฟ ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่นาซาเรธ แคว้นกาลิลี นางมารีย์
ได้หมั้นหมายไว้กับโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์ คือ กาเบรียลเข้าบ้านมาหานางมารีย์แล้วกล่าวว่า “ดูเถิด
เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว
ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับๆ
แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด
อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย
เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับนางมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ
ขณะที่นางมารีย์มีครรภ์แก่ใกล้กำหนดคลอด โยเซฟได้พาภรรยาไปยังเบธเลแฮมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัวจากคำสั่งของจักรพรรดิ์ออกัสตัส
และเนื่องจากไม่สามารถหาโรงแรมได้ พระกุมารจึงกำเนิดขึ้น ณ รางหญ้า นางมารีย์จึงนำผ้าพันกายพระกุมารเอาไว้
คืนนั้นทูตสวรรค์ปรากฏแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาจึงตกใจมาก แต่ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย เรามาเพื่อประกาศข่าวดี คืนนี้เองในเมืองของกษัตริย์ดาวิด
มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า
นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร
มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า” บรรดาคนเลี้ยงแกะ
และเหล่านักปราชญ์ที่เดินทางไปเรื่อย ๆ
เดินไปยังคอกสัตว์และถวายเครื่องบรรณาการสามสิ่ง คือ ทองคำสำหรับกษัตริย์ กำยาน (
เครื่องหอมคุณภาพดี) มอบแด่นักบุญนักบวช และมดยอบ (ยางไม้มีกลิ่นหอม)
สำหรับผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิต เมื่อกลับมาอยู่ที่นาซาเรธ
ก็ได้รับการศึกษาตามสมควร ปรากฏว่าได้แสดงความเฉลียวฉลาด เมื่ออายุได้ประมาณ 30
ปี ได้เริ่มสั่งสอนตามลำพัง เรียกตนเองว่าบุตรพระเจ้า
ชาวยิวที่นับถือจึงเชื่อกันว่า พระเยซู คือ
พระเมสสิอาห์ที่พระเจ้าโปรดให้ลงมาเพื่อไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์
พระองค์ทำอัศจรรย์ต่างๆมากมาย เช่น ช่วยรักษาคนเจ็บ (ขับไล่ภูตผีปีศาจ)
ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ และสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพ
แต่ชาวยิวกลุ่มหนึ่งที่เคร่งครัดในศาสนาเดิมโกรธแค้นว่าพระเยซูจะทำการแบ่งแยกศาสนา
ทางข้าหลวงโรมันก็เห็นว่าพระเยซูจะก่อการปฏิรูปสังคมและซ่องสุมคน
จึงทำให้พระเยซูถูกกุมตัวขึ้นศาล และถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขน
พระองค์สิ้นพระชนม์ ณ เนินเขาโกลโกธา (Golgotha) นอกเมืองเยรูซาเล็ม
ต่อมามีข่าวลือว่าพระเยซูทรงกลับฟื้นคืนชีพ
และปรากฏตัวให้บรรดาสานุศิษย์ที่จงรักภักดีได้เห็น บรรดาสาวกจึงจัดตั้งเป็นกลุ่ม
เพื่อสั่งสอนศาสนาตามแนวทางของพระคริสต์ไปตามที่ต่างๆ
ต่อมาคริสต์ศาสนาจึงเป็นศาสนาที่สำคัญของโลก
ศาสนาเดิมของยิวยิวเชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระยะโฮวาห์ ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก สร้างฟ้า สร้างพระอาทิตย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต พระองค์ทรงสร้างเสร็จภายใน 6 วัน วันที่ 7 ทรงหยุดพัก ต่อมาทรงนำดินเหนียวมาปั้นเป็นมนุษย์ผู้ชาย ซึ่งคือ อาดัม จากนั้นจึงหักซี่โครงอาดัมมา 1 ซี่ มาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิง นั่นคือ เอวา พระองค์ให้ทั้งอยู่ในสวนที่มีแต่ความสมบูรณ์ สามารถทำทุกอย่างในสวนได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามกินผลไม้สีแดงในสวนเด็ดขาด แต่มนุษย์ทั้ง 2 ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า พระองค์จึงขับไล่ออกจากสวนและสาปให้ได้รับความทุกข์ทรมานต่างๆเป็นอันมาก นอกจากนี้มนุษย์ที่สืบเชื้อสายจากมนุษย์ทั้ง 2 ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นเดียวกัน ดังที่เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
ศาสนาเดิมของยิวยิวเชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระยะโฮวาห์ ซึ่งเป็นผู้สร้างโลก สร้างฟ้า สร้างพระอาทิตย์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต พระองค์ทรงสร้างเสร็จภายใน 6 วัน วันที่ 7 ทรงหยุดพัก ต่อมาทรงนำดินเหนียวมาปั้นเป็นมนุษย์ผู้ชาย ซึ่งคือ อาดัม จากนั้นจึงหักซี่โครงอาดัมมา 1 ซี่ มาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิง นั่นคือ เอวา พระองค์ให้ทั้งอยู่ในสวนที่มีแต่ความสมบูรณ์ สามารถทำทุกอย่างในสวนได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามกินผลไม้สีแดงในสวนเด็ดขาด แต่มนุษย์ทั้ง 2 ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า พระองค์จึงขับไล่ออกจากสวนและสาปให้ได้รับความทุกข์ทรมานต่างๆเป็นอันมาก นอกจากนี้มนุษย์ที่สืบเชื้อสายจากมนุษย์ทั้ง 2 ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นเดียวกัน ดังที่เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
คำสอนของพระเยซู
พระเยซุมิใช่ผู้ที่เกิดมาเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น
และก็มิใช่ผู้ที่มีข้อคิดคำสอนลึกซึ้งเป็นพิเศษ
อีกทั้งมิใช่ผู้ที่นิยมการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
แต่ตรงกันข้ามกับทรงนิยมสิ่งที่ดีงามในโลกนี้
ต้องการความสุขความบันเทิงโดยไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขัน ไม่ชอบความทารุณโหดร้าย
ความโอ้อวดหรือความหยาบคาย คำสอนของพระองค์ที่แฝงความเข้มแข็งไว้อย่างลึกซึ้ง เช่น
“อย่าคิดว่าข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างสันติให้แก่โลกเท่านั้น
ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างสันติสุข แต่ยังส่งดาบให้ท่านด้วย”
จริยธรรมในคำสอนเน้นความประพฤติที่ถูกต้อง ความซื่อสัตย์และความมีมนุษยธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมสูงสุดที่ศาสนาทั้งหลายพึงกำหนดไว้ เพื่อสร้างความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา
จริยธรรมในคำสอนเน้นความประพฤติที่ถูกต้อง ความซื่อสัตย์และความมีมนุษยธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมสูงสุดที่ศาสนาทั้งหลายพึงกำหนดไว้ เพื่อสร้างความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา
การที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์แสดงถึงสิ่งใด
1) การไถ่มนุษย์ออกจากบาป
2) ความเสียสละของพระเจ้า
3) มนุษย์ได้รับการปลดปล่อยให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า
4) พระเจ้าทรงประทานพระบุตรมาชั่วคราวเพื่อสอนศีลธรรมให้มนุษย์
1) การไถ่มนุษย์ออกจากบาป
2) ความเสียสละของพระเจ้า
3) มนุษย์ได้รับการปลดปล่อยให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า
4) พระเจ้าทรงประทานพระบุตรมาชั่วคราวเพื่อสอนศีลธรรมให้มนุษย์
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ (อังกฤษ: Christianity) ราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ที่มีพื้นฐานมาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามที่ปรากฏในพระวรสารในสารบบ (canonical
gospel) และงานเขียนพันธสัญญาใหม่อื่น ๆ ผู้นับถือศาสนาคริสต์เรียกว่าคริสต์ศาสนิกชนหรือคริสตชน
คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเมสสิยาห์" ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่
คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West
Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16
ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ศาสนาคริสต์ในช่วงแรกถือเป็นนิกายหนึ่งของศาสนายูดาห์เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยถือกำเนิดขึ้นในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกของตะวันออกกลาง (ปัจจุบัน
คือ อิสราเอลและปาเลสไตน์) ไม่นานก็แผ่ขยายไปยังซีเรีย เมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์ และอียิปต์ ศาสนาคริสต์มีขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษ
และจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ได้กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติจักรวรรดิโรมัน ระหว่างสมัยกลาง ดินแดนยุโรปที่เหลือส่วนมากรับศาสนาคริสต์แล้ว
แต่บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอธิโอเปีย และบางส่วนของอินเดีย คริสตชนยังถือเป็นศาสนิกชนกลุ่มน้อย หลังยุคสำรวจ ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปยังทวีปอเมริกา ออสตราเลเซีย แอฟริกาใต้สะฮารา และส่วนที่เหลือของโลกผ่านงานมิชชันนารีและการล่าอาณานิคม
คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ที่พยากรณ์ไว้ในคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งในศาสนาคริสต์เรียก "พันธสัญญาเดิม" พื้นฐานเทววิทยาศาสนาคริสต์นั้นแสดงออกมาในหลักข้อเชื่อสากล (ecumenical
creed) ที่มีมาตั้งแต่ศาสนาคริสต์ยุคแรก และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาคริสต์ศาสนิกชน
การประกาศความเชื่อนี้มีอยู่ว่า พระเยซูทรงรับพระทรมาน สิ้นพระชนม์ และถูกฝังไว้ ก่อนจะคืนพระชนม์เพื่อให้ชีวิตนิรันดร์แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์และไว้วางใจว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป พวกเขายังเชื่ออีกว่าพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงควบคุมและปกครองรวมกับพระเจ้าพระบิดา นิกายส่วนใหญ่สอนว่าพระเยซูจะกลับมาพิพากษามนุษย์ทุกคน
ทั้งคนเป็นและคนตาย และให้ชีวิตนิรันดร์แก่สาวกของพระองค์ พระองค์ทรงถูกมองว่าเป็นแบบอย่างของชีวิตอันดีงาม และเป็นทั้งผู้เผยพระวจนะและเป็นพระเจ้าลงมารับสภาพมนุษย์
นิกาย
มนุษย์ได้แบ่งศาสนาคริสต์ให้เป็นนิกายต่าง ๆ
ซึ่งแปรไปตามพื้นที่, วัฒนธรรม และความคิดของตน นิกายที่สำคัญมี
3 นิกายคือ
โรมันคาทอลิก แปลว่าสากล
เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีย์และนักบุญต่าง
ๆ ภายในโบสถ์ของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และนักบุญต่าง ๆ
มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่สันตะสำนัก มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข
โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครทูตกลุ่มแรก โดยถือว่านักบุญซีโมนเปโตรคือพระสันตะปาปาพระองค์แรก
ซึ่งได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึงสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 266 คาทอลิกมีนักบวชเรียกว่าบาทหลวง และสมาชิกคณะนักบวชคาทอลิก ถ้าเป็นชายเรียกว่าภราดา (brother)
หญิงเรียกว่าภคินี (sister) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า
"คริสตัง" ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกส มีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ
1200 ล้านคน[17] นิกายนี้ถือว่าบาทหลวงเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์
(ตัวแทนพระเจ้าในโลกนี้)
โปรเตสแตนต์ แปลว่าคัดค้าน แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
เป็นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม
ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายร้อยคณะ เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และการปฏิบัติในพิธีกรรม
นิกายนี้ไม่มีนักบวชเชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยมิต้องอาศัยบาทหลวง
มีเพียงศิษยาภิบาล ที่คอยให้คำปรึกษากับผู้เชื่อ
และถือว่าพระเยซูได้ทรงไถ่บาปแก่ศาสนิกทุกคนไปเมื่อถูกตรึงกางเขนแล้ว
นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่านั้น ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า
"คริสเตียน" ตามเสียงอ่านภาษาอังกฤษ มีผู้นับถือรวมกันทุกนิกายย่อยประมาณ
850 ล้านคน นิกายนี้ถือว่าพระคัมภีร์เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์
อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ แปลว่าถูกต้องและดั้งเดิม นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น กรีซ รัสเซีย โดยแยกตัวออกไปจากศาสนาคริสต์ตะวันตก (แต่ชาวออร์ทอดอกซ์ถือว่าคาทอลิกเป็นฝ่ายแยกตัวออกจากศาสนจักออร์ทอดอกซ์)
เพราะไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะปาปาซึ่งมีอำนาจเหนือกว่ากษัตริย์
และทางโรมันคาทอลิกได้เปลี่ยนแปลงหลักข้อเชื่อในเรื่องการบังเกิดจากพระจิตเจ้า
จึงทำให้หลักข้อเชื่อของทางคาทอลิกแตกต่างออกไป ในด้านการปกครองแต่ละประเทศมีอัครบิดรเป็นประมุขของคริสตจักร นิกายออทอดอกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าศาสนาคริสต์ตะวันออก
หลักธรรมในศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายิว ซึ่งมีโมเสสเป็นศาสดา และเป็นผู้ยืนยันว่า พระเจ้า (พระยะโฮวา)
ได้รับประทานบัญญัติมาให้
โดยศาสนิกชนต้องมีความศรัทธาในพระเยซูสูงสุดในชีวิต และจงรักเพื่อนบ้าน เพื่อนมนุษย์
เหมือนรักตัวเอง
ตามหลักธรรมคำสอนดังต่อไปนี้
หลักบัญญัติ
๑๐ ประการ
๑.จงนมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว
๒.
อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมควร
๓.วันพระเจ้าให้ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
๔.จงนับถือบิดามารดา
๕.อย่าฆ่าคน
๖.อย่าล่วงประเวณี
๗.อย่าลักทรัพย์
๘.อย่าขโมย
๙.อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้านของเจ้า
๑๐.อย่าโลภอยากได้เรือนของเพื่อนบ้าน
อย่าโลภมากอยากได้เมียของเพื่อนบ้าน หรือทาสของเขา โค ลา ของเขา
หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดของเพื่อนบ้านนั้น
หลักตรีเอกานุภาพ
เป็นหลักคำสอนที่ให้ศรัทธาในพระเจ้าพระองค์เดียว แต่มี ๓ สภาวะประกอบด้วย
พระบิดา คือ องค์พระเจ้าผู้สร้างโลกและมนุษย์
พระบุตร คือ
ผู้เกิดมาเพื่อช่วยไถ่บาปให้แก่มนุษย์
พระจิตร คือ
พระวิญญาณอันบริสุทธ์เพื่อมอบความรักและบันดาลให้มนุษย์ประพฤติดี
หลักความรัก
คำสอนเรื่องความรักในศาสนาคริสต์ คือ การปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
มีความเมตตากรุณา ให้อภัยซึ่งกันและกัน และยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
หลักคำสอนเรื่องความรักในศาสนาคริสต์
มี ๒ ระดับ คือ
๑.ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
เปรียบเหมือนความรักระหว่างบิดากับบุตร
๒.ความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
พระเยซูสอนให้รักเพื่อนบ้าน (มนุษย์ทั้งโลก) สอนให้รักศัตรู
รู้จักการให้อภัยและเสียสละ
หลักอาณาจักรพระเจ้า
เป็นหลักคำสอนที่เน้นให้มนุษย์สร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในจิตใจ รู้จักการเตรียมตัวรับฟังคำสั่งสอน เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง ซึ่งอาณาจักรพระเจ้าแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน
คือ อาณาจักรบนโลกมนุษย์ ให้มนุษย์กระทำตนให้ดีที่สุด โดยการสวดมนต์
เพื่อเป็นการแสดงความศรัทธาในพระเจ้า
และอาณาจักรสวรรค์
เมื่อมนุษย์ตายไป
วิญญาณจะได้ไปเฝ้าพระเจ้าในสวรรค์มีชีวิตนิรันดร
ประวัติของอัครสาวกทั้ง 12
นักบุญมัทธิว
หรือที่เรียกกันว่า "เลวี" ในพระวรสารของนักบุญมาระโก
และลูกา มีอาชีพเก็บภาษีให้กรุงโรม ที่เมืองคาเบอร์นาอุม
ทั้งคงมีพื้นเพทางวัฒนธรรมกรีก แต่ชื่อเก่าเป็นภาษาฮีบรู
ชื่อของท่านมัทธิวนั้นหมายถึง "คนของพระเจ้า" ในพระวรสารเขียนถึงว่า
"วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พระเยซูเจ้าเสด็จมาและชักชวนท่านว่า
จงตามเรามาเถิด ทันใดนั้นท่านก็ได้ทิ้งงานและตามพระองค์ไป"
และหน้าที่สำคัญของท่านอีกอย่างหนึ่ง คือการถ่ายทอดข่าวดี หรือพระวรสาร หลังจากการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านได้นิพนธ์ พระวรสาร เพื่อชักชวนให้ชาวยิวเชื่อมั่นว่า พระเยซูเจ้า คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ที่ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์แท้ ท่านได้เผยแพร่พระวรสารแก่ชาวยิวเป็นเวลานานถึง 15 ปี จนได้รับสมญานามว่า "อัครสาวกแห่งเอธิโอเปีย" ในภาพจะเห็นว่า ท่านยืนอยู่บนถุงเงิน แต่ท่านกำลังอ่านพระคำภีร์อยู่ หมายถึงว่าท่านเลิกอาชีพเก็บภาษี มาเป็นสาวก และเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับหนึ่ง.
นักบุญแอนดรูว์
มีชื่อมาจากภาษกรีก หมายความว่า " สมเป็นชายชาติบุรุษ" ดูเหมือนท่านเป็นคนใจกว้าง มีความพร้อมเสมอ เปิดเผยและกระตือรือร้น ท่านเป็นน้องชายของนักบุญเปโตร และเป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ วันหนึ่งขณะที่ท่านยอห์น บัปติสต์อยู่กัยสาวกอีกสองคน คนหนึ่งคือนักบุญแอนดรูว์ เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมา ท่านยอห์นจึงบอกศิษย์ของท่านว่า "ท่านผู้นี้แหละคือลูกแกะ ของพระเจ้า" และศิษย์ทั้งสองก็ได้ติดตามพระเยซูเจ้าไป นักบุญแอนดรูว์เป็นผู้นำเปโตรมาให้พบพระเยซูเจ้า พระองค์จึงตรัสกับแอนดรูว์และเปโตรว่า " จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงจับมนุษย์"
นักบุญแอนดรูว์ ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศกรีก รัสเซีย และโปรแลนด์ ท่านได้สิ้นใจเป็นมรณสักขี โดยการถูกจับตรึงกางเขนไขว้ เป็นรูป X ในภาษาอังกฤษ.
และหน้าที่สำคัญของท่านอีกอย่างหนึ่ง คือการถ่ายทอดข่าวดี หรือพระวรสาร หลังจากการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านได้นิพนธ์ พระวรสาร เพื่อชักชวนให้ชาวยิวเชื่อมั่นว่า พระเยซูเจ้า คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ที่ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์แท้ ท่านได้เผยแพร่พระวรสารแก่ชาวยิวเป็นเวลานานถึง 15 ปี จนได้รับสมญานามว่า "อัครสาวกแห่งเอธิโอเปีย" ในภาพจะเห็นว่า ท่านยืนอยู่บนถุงเงิน แต่ท่านกำลังอ่านพระคำภีร์อยู่ หมายถึงว่าท่านเลิกอาชีพเก็บภาษี มาเป็นสาวก และเป็นผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับหนึ่ง.
นักบุญแอนดรูว์
มีชื่อมาจากภาษกรีก หมายความว่า " สมเป็นชายชาติบุรุษ" ดูเหมือนท่านเป็นคนใจกว้าง มีความพร้อมเสมอ เปิดเผยและกระตือรือร้น ท่านเป็นน้องชายของนักบุญเปโตร และเป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ วันหนึ่งขณะที่ท่านยอห์น บัปติสต์อยู่กัยสาวกอีกสองคน คนหนึ่งคือนักบุญแอนดรูว์ เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมา ท่านยอห์นจึงบอกศิษย์ของท่านว่า "ท่านผู้นี้แหละคือลูกแกะ ของพระเจ้า" และศิษย์ทั้งสองก็ได้ติดตามพระเยซูเจ้าไป นักบุญแอนดรูว์เป็นผู้นำเปโตรมาให้พบพระเยซูเจ้า พระองค์จึงตรัสกับแอนดรูว์และเปโตรว่า " จงตามเรามาเถิด เราจะให้ท่านเป็นชาวประมงจับมนุษย์"
นักบุญแอนดรูว์ ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศกรีก รัสเซีย และโปรแลนด์ ท่านได้สิ้นใจเป็นมรณสักขี โดยการถูกจับตรึงกางเขนไขว้ เป็นรูป X ในภาษาอังกฤษ.
บาร์นาบัส
มีกำเนิดจากเชื้อสายของเลวี เป็นชาวเกาะไซปรัส ชื่อของท่านมีความหมายว่า "ผู้มีหน้าที่ตักเตือน" บาร์นาบัสเป็นผู้แนะนำเปาโลต่อบรรดาอัครสาวก
ขณะที่คริสตชนกำลังตั้งกลุ่มกันอยู่ที่อันติโอก บาร์นาบัสในฐานะตัวแทนของศาสนจักรแม่ คือกลุ่มพระวิหารเยรูซาเล็ม ถูกส่งไปเพื่อเป็นกำลังใจแก่บรรดาคริสตชนที่นักบุญเปาโลได้อบรมสั่งสอนอยู่ที่นั่นตลอดเวลา 1 ปี จากนั้นเปาโลและบาร์นาบัส ก็ได้จาริกไปประกาศพระศาสนจักรในต่างแดน ทั้งสองถูกเนรเทศจากเมืองแห่งหนึ่ง ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นผลดีในงานเผยแพร่พระธรรม ในที่สุดบาร์นาบัส ก็ได้มาระโกเป็นผู้ช่วยอยู่ที่ไซปรัส
บาร์นาบัส ได้อุทิศชีวิตด้วยการประกาศพระศาสนา โดยการนำของพระจิตเจ้าและความศรัทธาแรงกล้า ท่านจบชีวิตด้วยการเป็นมารตีร์ที่ไซปรัส ในรัชสมัยกษัตริย์เนโร โดยมีพระวรสารฉบับของนักบุญมัทธิวกอดเอาไว้แนบอก.
มีกำเนิดจากเชื้อสายของเลวี เป็นชาวเกาะไซปรัส ชื่อของท่านมีความหมายว่า "ผู้มีหน้าที่ตักเตือน" บาร์นาบัสเป็นผู้แนะนำเปาโลต่อบรรดาอัครสาวก
ขณะที่คริสตชนกำลังตั้งกลุ่มกันอยู่ที่อันติโอก บาร์นาบัสในฐานะตัวแทนของศาสนจักรแม่ คือกลุ่มพระวิหารเยรูซาเล็ม ถูกส่งไปเพื่อเป็นกำลังใจแก่บรรดาคริสตชนที่นักบุญเปาโลได้อบรมสั่งสอนอยู่ที่นั่นตลอดเวลา 1 ปี จากนั้นเปาโลและบาร์นาบัส ก็ได้จาริกไปประกาศพระศาสนจักรในต่างแดน ทั้งสองถูกเนรเทศจากเมืองแห่งหนึ่ง ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นผลดีในงานเผยแพร่พระธรรม ในที่สุดบาร์นาบัส ก็ได้มาระโกเป็นผู้ช่วยอยู่ที่ไซปรัส
บาร์นาบัส ได้อุทิศชีวิตด้วยการประกาศพระศาสนา โดยการนำของพระจิตเจ้าและความศรัทธาแรงกล้า ท่านจบชีวิตด้วยการเป็นมารตีร์ที่ไซปรัส ในรัชสมัยกษัตริย์เนโร โดยมีพระวรสารฉบับของนักบุญมัทธิวกอดเอาไว้แนบอก.
นักบุญโทมัส
ชื่อของท่านในภาษาอารามัย หมายความว่า "คู่แฝด" และด้วยเหตุนี้เองนักบุญยอห์น จึงเรียกท่านเป็นภาษากรีกว่า "ดิดิม" ท่านเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละอย่างยอดเยี่ยม เมื่อครั้งพระเยซูเจ้าทรงตรัสบอกบรรดาอัครสาวกว่า พระองค์ต้องรีบกลับไปเยี่ยมลาซารัส ที่แคว้นยูเดีย พวกสาวกได้ทราบข่าวประชาชนที่นั่นคงเอาหินทุ่มพระเยซูเจ้า ? ท่านได้กล่าวว่าเราจะไปด้วยกัน จะร่วมตายกับพระอาจารย์
เมื่อครั้งที่พระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระองค์กลับคืนพระชนม์ชีพ พวกสาวกได้กล่าวกับโทมัสว่า "เราได้พบพระเยซูเจ้าแล้ว" แต่ท่านตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เอานิ้วสอดเข้าไปในบาดแผลตะปู ที่พระหัตถ์และพระสีข้างของพระองค์" หลังจากนั้น 8 วัน ขณะที่โทมัสอยู่กับพวกสาวก พระเยซูเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนต่อหน้าท่าน และตรัสแก่โทมัส ให้เอานิ้วสัมผัสที่สีข้างของพระองค์ พลางตรัสว่า "อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด" โทมัสได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาในแคว้นต่างๆ สู่เปอร์เซีย และอินเดีย ซึ่งต่อมาท่านได้สิ้นชีวิตเป็นมรณสักขี.
นักบุญบาร์โธโลมิว แห่งเมืองกานา
บุตรชาวไร่ ท่านยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "นาธานาแอล" สำหรับชื่อของท่านนั้น "บาร์โธโลมิว" แปลว่า "ลูกของผู้กล้าหาญ" เป็นคนหนึ่งในบรรดาสานุศิษย์รุ่นแรกของพระเยซูเจ้า
วันหนึ่ง นักบุญฟิลิป ผู้เป็นเพื่อนของท่าน และศิษย์ของท่านยอห์น บัปติสต์ ได้มาบอกท่านถึงเรื่องพระเยซูเจ้า และคงเป็นคำพูดของพระเยซูเจ้าที่กล่าวว่า "นี่แหละชาวยิวแท้ ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบาย" นาธานาแอลจึงได้แสดงถึงความเชื่อ ที่ร้อนรนหลังจากที่บอกว่า "จากนาซาเร็ธจะมีอะไรดี" ท่านได้กล่าวว่า "พระอาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าโดยแท้ ทั้งเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลด้วย"
นักบุญบาร์โธโลมิว หรือ นาธานาแอล ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนจักร ที่ประเทศอาหรับและอินเดีย ท่านได้ถึงแก่กรรมเป็นมรณสักขี ที่ประเทศอามาเนีย ด้วยการถูกจับถลกหนังทั้งเป็น.
ชื่อของท่านในภาษาอารามัย หมายความว่า "คู่แฝด" และด้วยเหตุนี้เองนักบุญยอห์น จึงเรียกท่านเป็นภาษากรีกว่า "ดิดิม" ท่านเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละอย่างยอดเยี่ยม เมื่อครั้งพระเยซูเจ้าทรงตรัสบอกบรรดาอัครสาวกว่า พระองค์ต้องรีบกลับไปเยี่ยมลาซารัส ที่แคว้นยูเดีย พวกสาวกได้ทราบข่าวประชาชนที่นั่นคงเอาหินทุ่มพระเยซูเจ้า ? ท่านได้กล่าวว่าเราจะไปด้วยกัน จะร่วมตายกับพระอาจารย์
เมื่อครั้งที่พระเยซูเจ้าปรากฎพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระองค์กลับคืนพระชนม์ชีพ พวกสาวกได้กล่าวกับโทมัสว่า "เราได้พบพระเยซูเจ้าแล้ว" แต่ท่านตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เอานิ้วสอดเข้าไปในบาดแผลตะปู ที่พระหัตถ์และพระสีข้างของพระองค์" หลังจากนั้น 8 วัน ขณะที่โทมัสอยู่กับพวกสาวก พระเยซูเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนต่อหน้าท่าน และตรัสแก่โทมัส ให้เอานิ้วสัมผัสที่สีข้างของพระองค์ พลางตรัสว่า "อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด" โทมัสได้ไปจาริกประกาศพระศาสนาในแคว้นต่างๆ สู่เปอร์เซีย และอินเดีย ซึ่งต่อมาท่านได้สิ้นชีวิตเป็นมรณสักขี.
นักบุญบาร์โธโลมิว แห่งเมืองกานา
บุตรชาวไร่ ท่านยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "นาธานาแอล" สำหรับชื่อของท่านนั้น "บาร์โธโลมิว" แปลว่า "ลูกของผู้กล้าหาญ" เป็นคนหนึ่งในบรรดาสานุศิษย์รุ่นแรกของพระเยซูเจ้า
วันหนึ่ง นักบุญฟิลิป ผู้เป็นเพื่อนของท่าน และศิษย์ของท่านยอห์น บัปติสต์ ได้มาบอกท่านถึงเรื่องพระเยซูเจ้า และคงเป็นคำพูดของพระเยซูเจ้าที่กล่าวว่า "นี่แหละชาวยิวแท้ ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบาย" นาธานาแอลจึงได้แสดงถึงความเชื่อ ที่ร้อนรนหลังจากที่บอกว่า "จากนาซาเร็ธจะมีอะไรดี" ท่านได้กล่าวว่า "พระอาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าโดยแท้ ทั้งเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลด้วย"
นักบุญบาร์โธโลมิว หรือ นาธานาแอล ได้ไปจาริกประกาศพระศาสนจักร ที่ประเทศอาหรับและอินเดีย ท่านได้ถึงแก่กรรมเป็นมรณสักขี ที่ประเทศอามาเนีย ด้วยการถูกจับถลกหนังทั้งเป็น.
นักบุญยอห์น(ผู้นิพนธ์พระวรสาร)
ในบรรดาสาวกทั้ง 12 องค์ นักบุญยอห์นเป็นผู้ใกล้ชิดและพระเยซูเจ้า ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ชื่อของนักบุญยอห์น แปลว่า "พรจากพระเจ้า " ท่านเป็นคนหนุ่มที่สุดในบรรดา อัครสาวก 12 องค์ บิดาของท่านคือ เศเบดี เป็นชาวประมงที่ร่ำรวยของเมืองเบธไซดา มารดาชื่อ สะโลเม ในขณะที่พระเยซูเจ้า ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ ท่านได้ช่วยปลอบโยนพระแม่ และพระเยซูเจ้าทรงฝากพระมารดาไว้ในความดูแลของท่าน นักบุญยอห์นได้จาริกเผยแพร่พระศาสนาในปาเลสไตน์ ถูกจับขังคุกที่กรุงโรม เมื่อท่านอายุได้ 90 ปี ท่านได้เขียนพระวรสารพิสูจน์ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้และเป็นนมุษย์แท้ เนื่องจากท่านสามารถพูดถึงสภาวะของพระเจ้าและของพระเยซูเจ้าได้อย่างถูกต้อง ยอห์นยังเห็นเหตุการณ์ต่างๆ และพระวาจาว่าเป็น "สัญญาลักษณ์" หมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท เขาจึงเปรียบท่านเหมือนนกอินทร์ ที่บินได้สูงกว่านกทั้งปวง
ในภาพจะเห็นว่ามีนกอินทรีอยู่ใกล้ๆกับท่าน และมือกำลังถือปากกาเตรียมเขียนข้อความลงในสมุด ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ให้ทราบว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เขียนพระวรสาร
นักบุญเปโตร
เดิมชื่อ "ซีโมน" เป็นชาวประมงตำบลเบธไซดา แต่ต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาเปอร์นาอุม นักบุญแอนดรูว์น้องชายของท่านได้เป็นคนแนะนำ ให้มาติดตามพระเยซูเจ้า "ผมพบท่าน ผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมาเป็นกษัตริย์แล้ว"
พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านใหม่และทรงเรียกว่า "เปรโต" แปลว่า ศิลา ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถามท่านว่า "ท่านคิดว่าเราเป็นใคร" และเปรโตได้ทูลว่า "พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า" พระเยซูจึงตรัสว่า "เราจะตั้งท่านเป็นหัวหน้าแทนเรา ทั้งจะมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์" สัญญาลักษณ์ที่เห็นเด่นชัดในภาพคือ มือของท่านมีลูกกุญแจ
?นักบุญเปรโต เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักร ท่านได้ถูกจับตรึงกางเขน แต่ท่านได้ขอร้องให้เอาศีรษะทิ่มลงหิน โดยกล่าวว่า ท่านไม่สมควรที่จะตายในลักษณะเดียวกับพระเยซูเจ้า.
นักบุญธัดเดอัส หรือ นักบุญ ยูดา
คือหนึ่งในอัครสาวก 12 องค์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก ดังจะพบได้ในพระวรสารนักบุญลูกา และหนังสือกิจการอัครสาวก "ยูดาบุตรยากอบ" แต่มีพระวรสารบางฉบับเรียกท่านว่า "ธัดเดอัส" เช่น พระวรสารนักบุญมัทธิว และมาระโก สำหรับเหตุผลที่ใช้ธัดเดอัสนั้น คงเป็นเพราะนักบุญมัทธิว และมาระโก ระวังเรื่องชื่อที่ซ้ำกันในพระวรสาร นั่นคือยูดาส อิสคาริโอท "ยูดา" คนละคนกันกับยูดาส บุตรคาริโอท
สำหรับชื่อ ธัดเดอัส มาจากภาษาอารามัย นักบุญธัดเดอัส เป็นหลานชายของแม่พระ และนักบุญโยแซฟ ทั้งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเยซูเจ้า ท่านเป็นน้องชายของนักบุญยากอบ นักบุญธัดเดอัสได้ไปประกาศเทศนาสั่งสอน ยังประเทศเปอร์เซีย ที่สุดท่านได้จบชีวิตลงด้วยการเป็นมรณสักขี โดยถูกฆ่าตาย ด้วยหอกแบบที่มีขวานติดอยู่ ดังนั้นในภาพมักจะเห็นท่านถือหอก ที่มีขวานติดอยู่ อันเป็นสัญญาลักษณ์มรณสักขีของท่าน.
นักบุญยากอบ(บุตรเศเบดี)
นักบุญยากอบ ซึ่งเราเรียกว่า "องค์ใหญ่" เป็นบุตรเศเบดี และนางสะโลเม ซึ่งชื่อของนักบุญยากอบนั้นหมายความว่า "ผู้ติดตามพระเจ้า" มาจากภาษาฮีบรู ท่านเป็นพี่ชายของนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นสานุศิษย์รุ่นแรกของพระองค์ และท่านทั้งสองก็มิได้ลังเลใจที่จะติดตาม พระองค์
เมื่อท่านยอห์น บัปติสต์ อยู่ที่แม่น้ำจอร์แดนและชี้ไปทางพระเยซูเจ้า เป็นเครื่องหมายบอกแก่ประชาชนเป็นนัยว่านี่คือ "พระเมสสิยาห์" ยากอบติดตามพระเยซูเจ้าไปด้วยความจงรักภักดี และเมื่อครั้งที่พระเยซูตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า พระองค์จะทำให้ชาวประมงจับมนุษย์ ยากอบก็ทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไป พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนายว่า ยากอบต้องดื่มกาลิกส์ แห่งยัญบูชาพร้อมกับพระองค์ และเหตุการนั้นก็เป็นจริง
ท่านยากอบเป็นสาวกองค์แรก ที่ได้หลั่งโลหิตเพื่อพระคริสตเจ้า โดยถูกตัดศีรษะ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นราว ค.ศ. 42-43 ในช่วงระหว่างเทศกาลบัสกา
นักบุญฟิลิป
เป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ ท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวก พวกแรกของพระเยซูเจ้า ท่านเป็นชาวเบธไซดา พูดภาษากรีกเช่นเดียวกับอัครสาวกอื่นๆ ชื่อของท่านนักบุญฟิลิปหมายความว่า "ผู้รักม้า" ซึ่งมาจากภาษากรีก เมื่อท่านได้พบพระเยซูเจ้าครั้งแรก ท่านได้ไปบอก นาธานาแอลว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ และผู้ที่เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ บุตรท่านโยเซฟ"
ต่อมาท่านทั้งสองได้สมัครเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นักบุญฟิลิปได้เดินทางไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศในแถบเอเซียไมเนอร์ และถูกฆ่าตายด้วยการตรึงกางเขนในปี 80
นักบุญซีโมนในบรรดาสาวกทั้ง 12 องค์ นักบุญยอห์นเป็นผู้ใกล้ชิดและพระเยซูเจ้า ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ชื่อของนักบุญยอห์น แปลว่า "พรจากพระเจ้า " ท่านเป็นคนหนุ่มที่สุดในบรรดา อัครสาวก 12 องค์ บิดาของท่านคือ เศเบดี เป็นชาวประมงที่ร่ำรวยของเมืองเบธไซดา มารดาชื่อ สะโลเม ในขณะที่พระเยซูเจ้า ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์ ท่านได้ช่วยปลอบโยนพระแม่ และพระเยซูเจ้าทรงฝากพระมารดาไว้ในความดูแลของท่าน นักบุญยอห์นได้จาริกเผยแพร่พระศาสนาในปาเลสไตน์ ถูกจับขังคุกที่กรุงโรม เมื่อท่านอายุได้ 90 ปี ท่านได้เขียนพระวรสารพิสูจน์ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้และเป็นนมุษย์แท้ เนื่องจากท่านสามารถพูดถึงสภาวะของพระเจ้าและของพระเยซูเจ้าได้อย่างถูกต้อง ยอห์นยังเห็นเหตุการณ์ต่างๆ และพระวาจาว่าเป็น "สัญญาลักษณ์" หมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท เขาจึงเปรียบท่านเหมือนนกอินทร์ ที่บินได้สูงกว่านกทั้งปวง
ในภาพจะเห็นว่ามีนกอินทรีอยู่ใกล้ๆกับท่าน และมือกำลังถือปากกาเตรียมเขียนข้อความลงในสมุด ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ให้ทราบว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เขียนพระวรสาร
นักบุญเปโตร
เดิมชื่อ "ซีโมน" เป็นชาวประมงตำบลเบธไซดา แต่ต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาเปอร์นาอุม นักบุญแอนดรูว์น้องชายของท่านได้เป็นคนแนะนำ ให้มาติดตามพระเยซูเจ้า "ผมพบท่าน ผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมาเป็นกษัตริย์แล้ว"
พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านใหม่และทรงเรียกว่า "เปรโต" แปลว่า ศิลา ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถามท่านว่า "ท่านคิดว่าเราเป็นใคร" และเปรโตได้ทูลว่า "พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า" พระเยซูจึงตรัสว่า "เราจะตั้งท่านเป็นหัวหน้าแทนเรา ทั้งจะมอบกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์" สัญญาลักษณ์ที่เห็นเด่นชัดในภาพคือ มือของท่านมีลูกกุญแจ
?นักบุญเปรโต เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักร ท่านได้ถูกจับตรึงกางเขน แต่ท่านได้ขอร้องให้เอาศีรษะทิ่มลงหิน โดยกล่าวว่า ท่านไม่สมควรที่จะตายในลักษณะเดียวกับพระเยซูเจ้า.
นักบุญธัดเดอัส หรือ นักบุญ ยูดา
คือหนึ่งในอัครสาวก 12 องค์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก ดังจะพบได้ในพระวรสารนักบุญลูกา และหนังสือกิจการอัครสาวก "ยูดาบุตรยากอบ" แต่มีพระวรสารบางฉบับเรียกท่านว่า "ธัดเดอัส" เช่น พระวรสารนักบุญมัทธิว และมาระโก สำหรับเหตุผลที่ใช้ธัดเดอัสนั้น คงเป็นเพราะนักบุญมัทธิว และมาระโก ระวังเรื่องชื่อที่ซ้ำกันในพระวรสาร นั่นคือยูดาส อิสคาริโอท "ยูดา" คนละคนกันกับยูดาส บุตรคาริโอท
สำหรับชื่อ ธัดเดอัส มาจากภาษาอารามัย นักบุญธัดเดอัส เป็นหลานชายของแม่พระ และนักบุญโยแซฟ ทั้งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเยซูเจ้า ท่านเป็นน้องชายของนักบุญยากอบ นักบุญธัดเดอัสได้ไปประกาศเทศนาสั่งสอน ยังประเทศเปอร์เซีย ที่สุดท่านได้จบชีวิตลงด้วยการเป็นมรณสักขี โดยถูกฆ่าตาย ด้วยหอกแบบที่มีขวานติดอยู่ ดังนั้นในภาพมักจะเห็นท่านถือหอก ที่มีขวานติดอยู่ อันเป็นสัญญาลักษณ์มรณสักขีของท่าน.
นักบุญยากอบ(บุตรเศเบดี)
นักบุญยากอบ ซึ่งเราเรียกว่า "องค์ใหญ่" เป็นบุตรเศเบดี และนางสะโลเม ซึ่งชื่อของนักบุญยากอบนั้นหมายความว่า "ผู้ติดตามพระเจ้า" มาจากภาษาฮีบรู ท่านเป็นพี่ชายของนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นสานุศิษย์รุ่นแรกของพระองค์ และท่านทั้งสองก็มิได้ลังเลใจที่จะติดตาม พระองค์
เมื่อท่านยอห์น บัปติสต์ อยู่ที่แม่น้ำจอร์แดนและชี้ไปทางพระเยซูเจ้า เป็นเครื่องหมายบอกแก่ประชาชนเป็นนัยว่านี่คือ "พระเมสสิยาห์" ยากอบติดตามพระเยซูเจ้าไปด้วยความจงรักภักดี และเมื่อครั้งที่พระเยซูตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า พระองค์จะทำให้ชาวประมงจับมนุษย์ ยากอบก็ทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไป พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนายว่า ยากอบต้องดื่มกาลิกส์ แห่งยัญบูชาพร้อมกับพระองค์ และเหตุการนั้นก็เป็นจริง
ท่านยากอบเป็นสาวกองค์แรก ที่ได้หลั่งโลหิตเพื่อพระคริสตเจ้า โดยถูกตัดศีรษะ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นราว ค.ศ. 42-43 ในช่วงระหว่างเทศกาลบัสกา
นักบุญฟิลิป
เป็นลูกศิษย์ของนักบุญยอห์น บัปติสต์ ท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวก พวกแรกของพระเยซูเจ้า ท่านเป็นชาวเบธไซดา พูดภาษากรีกเช่นเดียวกับอัครสาวกอื่นๆ ชื่อของท่านนักบุญฟิลิปหมายความว่า "ผู้รักม้า" ซึ่งมาจากภาษากรีก เมื่อท่านได้พบพระเยซูเจ้าครั้งแรก ท่านได้ไปบอก นาธานาแอลว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ และผู้ที่เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ บุตรท่านโยเซฟ"
ต่อมาท่านทั้งสองได้สมัครเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นักบุญฟิลิปได้เดินทางไปจาริกประกาศพระศาสนาจักร ยังประเทศในแถบเอเซียไมเนอร์ และถูกฆ่าตายด้วยการตรึงกางเขนในปี 80
หนึ่งในบรรดาอัครสาวกทั้ง 12 องค์ ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก ในพระวรสารนักบุญมัทธิวและมาระโก เรียกท่านว่า "ผู้รักชาติ" เพราะเหตุว่า มีการเรียกสันสนอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับท่าน เพราะผู้อื่นคิดว่าท่านเป็นคนเดียวกับ ท่านนักบุญเปรโต (ซีโมน) แห่งกาลิสี
ซีโมน เป็นศัพท์มาจากาภษากรีก การที่เรียกท่านว่า ผู้รักชาติ อาจจะเป็นเพราะว่า ท่านเป็นชาวยิวที่มีความผูกพันกับอุดมการณ์ ของการมีพระเป็นเจ้าปกครอง กับอุดมการณ์พระเมสสิยาห์ อย่างแน่นแฟ้นของพวกฮีบรู และจิตใจของท่านก็ครุ่กรุ่นไปด้วย ความเป็นปฎิปักษ์ต่อต้านพวกโรมัน
ท่านได้ร่วมเดินทางไปประกาศศาสนากับนักบุญยูดา จนถึงเปอร์เซีย ที่นั่นท่านได้ประกาศความเชื่อ โดยการยอมถูกฆ่าตายด้วยเลื่อย เพื่อเป็นมรณสักขี ดังนั้นสัญญาลักษณ์ที่คู่กับท่าน คือเลื่อยและพระคำภีร์
นักบุญเปาโล
นักบุญเปาโล เดิมชื่อ "เซาโล" ภาษาฮีบรูแปลว่า "ที่ปรารถนา" ท่านเป็นชาวยิวที่เกลียดพวกคริสตชนอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่ง ขณะที่ท่านเดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับคริสตชน พระเป็นเจ้าได้ประจักษ์มาหาท่าน โดยทำให้เกิดแสงสว่างลงมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน จนทำให้ท่านตกลงมาจากหลังม้า และก็มีเสียงถามว่า "เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม " เซาโลจึงถามว่า " พระองค์ต้องการให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด" เสียงนั้นก็ว่า "จงเข้าไปในเมืองแล้วจะรู้เองว่าต้องทำอะไร" แต่เนื่องจากตอนนั้นตาของท่านบอด จึงต้องมีคนนำท่านเข้าไปในเมือง สามวันให้หลัง ท่านได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ อานาเนีย ซึ่งบอกกับท่านว่า พระเป็นเจ้าได้ส่งเขามาเพื่อพบท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้มองเห็นอีกครั้ง พร้อมทั้งพระหรรษทานจากพระจิตเจ้า ท่านได้กลับใจและรับศีลล้างบาป ทั้งเปลี่ยชื่อใหม่ เป็น "เปาโล"
ท่านเป็นผู้มีจิตใจร้อนรน ทั้งจาริกประกาศพระศาสนาไปทั่วแคว้นต่างๆ รวมทั้งเขียนจดหมายถึงคริสตชนเป็นจำนวนมากที่สุด ท่านจึงถูกจำคุกและถูกตัดศีรษะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)